Monday, July 06, 2009

ไข้หวัด 2009 มาแล้ว

10 วิธีง่ายๆ ห่างไกลไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่





10 วิธีง่ายๆ ห่างไกลไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่

ท่ามกลางภาวะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดลามไปทั่วโลก นิตยสาร "สรรสาระ" ฉบับเดือนกรกฎาคม นำเสนอบทความแนะนำ 23 วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรคไข้หวัดใหญ่ โดยรวบรวมข้อมูลมาจากงานวิจัยทั่วโลก และวันนี้ขออนุญาตดึงเทคนิคบางส่วนสัก 10 ข้อที่ปฏิบัติง่ายๆ มาบอกต่อ...

1. ล้างมือบ่อยๆ โดยก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยสุขภาพของกองทัพสหรัฐพบว่า คนล้างมือวันละ 5 ครั้ง ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่และโรคทางเดินหายใจลดลงร้อยละ 45 และควรล้างมือซ้ำ 2 รอบ

2. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี

3. พกเจลล้างมือฆ่าเชื้อติดตัว

4. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมโรค หรือถ้าจะให้ดีเปลี่ยนทุกครั้งหลังป่วยเป็นไข้ ป้องกันติดเชื้อซ้ำ

5. กินกระเทียมทุกวัน

6. ฝึกสมาธิวันละครั้ง ช่วยลดความเครียด ทั้งนี้ มีผลวิจัยชี้ว่าคนมีความเครียดป่วยเป็นไข้หวัดบ่อยกว่าคนไม่มีความเครียด สะสมถึง 2 เท่า

7. ใช้มือ กระดาษ หรือผ้าปิดจมูกปิดปากทุกครั้งที่จาม ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค

8. เปลี่ยนหรือซักผ้าเช็ดมือทุก 3-4 วัน ในช่วงที่มีไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ระบาด และซักด้วยน้ำร้อน

9. อย่ากินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง

10. กีฬาๆ คือยาวิเศษ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย

มันได้เข้ามาถึงจังหวัดเชียงรายแล้วนะ

น่ากลัวมากเพราะมันสามารถอยู่ได้ทุกสภาพอาการศ และทุกสถานที่

................................ระวัง...............................

วันอาสาฬหบูชา

วันสำคัญของทางพระพุทธศาสนา

7 กรกฎาคม 2552


ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา"

ธรรมจักกัปปวัตนสูต


ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8

วันอาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า
"ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ

สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ

1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค

การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่

1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง

2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม

3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต

4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต

5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต

6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี

7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด

8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่

1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ

3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น

ส่วนพิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...


การทำบุญ เจริญจิต สมาธิ เป็นการเพิ่มพลังงานให้กับจิตใจและสมองของเราเอง ไม่ใช่ของผู้อื่นแต่อย่างใด


เจริญพร..


Wednesday, June 24, 2009

นิทานเรื่อง....เเม่มด

ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน ดีมาก ๆ ...อ่านให้จบนะ

นิทานเรื่อง....เเม่มด

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว.....

อาเธอร์ถูกจับและจะประหารชีวิต
แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบ
ปัญหาแสนยากข้อหนึ่ง ได้ถูกต้อง

อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้
เขาก็จะถูกประหาร

"คำถามนั้นคือ .... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ?"

ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง
เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและ เริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน
แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้
คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่
ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง

แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น


แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน
นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของ
เหล่าอัศวินโต๊ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์

อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ
เพราะยายแก่หลังโกงเหม็นก็เหม็น มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนถังส้วม
ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน

ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้น เขายอมแต่งงาน
เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม

และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์

"สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง"

ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่
และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริง


แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ
กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม
ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช

ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งตด ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด
และแล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง

กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยองเขาก้าวเขาสู่ห้องนอนวิวาห์
ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!!
หญิงสาวแสนสวยที่สุดที่เคยพบพาน นอนรออยู่เบื้องหน้า
กาเวนงุนงง ???? สาวแสนสวยเฉลยว่า

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน (เมื่อยามเป็นแม่มด)
ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่ารังเกียจ
ส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้

กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน?

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!! กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง
หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง
แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด?

หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน
แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี??

เป็นคุณหล่ะ
คุณจะเลือกอย่างไร ???
(กรุณาหยุดคิดสักนิดเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ค่อย scroll ลงไปอ่านนะ )

ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม

ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม

” ใครก็ตามที่ไม่มีเป้าหมายและแรงจูงใจในชีวิตมากเพียงพอ แค่จะเอื้อมไปเด็ดใบไม้สักใบ หรือเก็บก้อนหินสักก้อนก็คงทำได้ยาก แต่…ใครก็ตามที่มีเป้าหมายที่ท้าทายและมีแรงจูงใจที่มากพอ ต่อให้ปีนเขาสูงหรือข้ามทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลสักเพียงใด ความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลนัก”

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า คนส่วนใหญ่ต้องการกำไรในชีวิตที่เกิดจากผลพวงของความสำเร็จ แต่ปัญหาอยู่ที่คนเรามักจะไม่รู้ว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไร อะไรคือความสำเร็จ สุดท้ายก็ไปทึกทักเอาเองว่าความสำเร็จของคนนั้นของคนนี้เป็นตัวอย่างของความ สำเร็จด้านโน้นด้านนี้ ทำให้คนในสังคมต่างตะเกียกตะกายเดินทางไปสู่ความสำเร็จที่เขาว่ากัน เหมือนหนังหรือนิยายหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการเดินทางไปค้นหาขุมสมบัติที่ ต้องแย่งชิงแผนที่การเดินทางต้องทำลายคู่แข่งที่อาจจะมาแย่งส่วนแบ่งของ สมบัติที่วาดฝันเอาไว้ ต้องเอาชีวิตเข้าแลกแม้ไม่รู้ว่าสมบัตินั้นมีจริงหรือไม่ มากน้อยเพียงใด สุดท้ายเมื่อไปถึงกรุสมบัติ สิ่งที่ได้คือความสุขเพียงหนึ่งหรือสองนาที หลังจากนั้นก็เกิดอาเพศถ้ำถล่มบ้าง สมบัติกลายเป็นหินบ้าง หรือบางคนก็หนีรอดมาได้ก็เหลือแค่ตัวเท่านั้น

เหมือนกับชีวิตคนหลาย คนที่ต้องดิ้นรนเพื่อนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จที่เขาว่ากัน บางครั้งต้องแลกด้วยการอดหลับอดนอน บางครั้งต้องแลกมาด้วยความเครียด บางครั้งต้องแลกมาด้วยความอบอุ่นของครอบครัว บางครั้งต้องแลกมาด้วยหนี้สิน บางครั้งต้องแลกมาด้วยมิตรภาพของเพื่อน ฯลฯ สุดท้ายเมื่อไปถึงความสำเร็จที่อยากได้ที่ทุกคนยอมรับ แต่ตัวเองกลับบริโภคความสำเร็จนั้นได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นต้องชดใช้ชดเชยความสำเร็จนั้นด้วยการเจ็บป่วย ครอบครัวแตกแยก ความเครียด สังคมไม่ยอมรับ จิตใจที่ไม่ปกติ หรือบางคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ดังเช่นเรื่องราวของคนหลายคนในสังคมที่เป็นอุทาหรณ์ให้ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเราเอง

ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตของเราเหมือนกับหนัง นิยายหรือชีวิตจริงของคนหลายคนจึงอยากจะแนะนำว่า คำว่า “ความสำเร็จในชีวิต” นั้นมิได้ หมายถึง ความร่ำรวย ความมีชื่อเสียง มีการศึกษาสูง มีหน้าที่การงานดี มีเกียรติยศชื่อเสียงในสังคมเท่านั้น แต่…ความสำเร็จในชีวิตนั้นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเรา เช่น ความสำเร็จในการมีชีวิตอยู่ เพราะเรายังสามารถหายใจเข้าออกเป็นปกติ

ความสำเร็จในการกิน เพราะเรากินอาหารได้ทุกประเภทและยังรู้รสความ อร่อยอยู่

ความสำเร็จด้านธรรมะ เพราะเรายังคงคิดดี มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อยู่

ความสำเร็จด้านสุขภาพ เพราะเรายังมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงอยู่

ความสำเร็จด้านความคิด เพราะเรายังสามารถคิดโน่นคิดนี่ได้เป็นอย่างดี

ความสำเร็จด้านการกระทำ เพราะเรายังสามารถทำในสิ่งที่เราอยากทำได้อยู่

ความสำเร็จด้านครอบครัว เพราะเรายังมีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่

ความสำเร็จด้านสังคม เพราะเรายังมีเพื่อนและมิตรที่ดีอยู่

ฯลฯ

การที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ประสบแต่ความสำเร็จ มีเทคนิคและหาวิธีการคิด ดังนี้

เริ่มตั้งเป้าหมายชีวิตจากเรื่องเล็กๆ

เพราะเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ มักจะมีโอกาสสำเร็จได้ง่ายกว่า เมื่อเรามีความสำเร็จเกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็จะมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น การตั้งเป้าหมายเรื่องเล็กๆ เปรียบเสมือนเรากำลังหาเช้ากินค่ำ เพราะจิตใจของเราได้บริโภคความสำเร็จทุกวัน

เลิกมองเป้าหมายสุดท้าย แต่หันมาตั้งเป้าหมายที่กิจกรรมที่จะต้องทำแทน

การตั้งเป้าหมายสุดท้ายบางครั้งอาจจะทำให้เราท้อแท้เสียก่อน โดยเฉพาะตอนที่เริ่มลงมือทำ เช่น เราตั้งเป้าหมายว่าจะวิ่งรอบสนามฟุตบอล 5 รอบ พอวิ่งไปได้สัก 50 เมตร เราก็รู้สึกว่าเหลืออีกตั้งไกล ให้ตั้งเป้าหมายเสียใหม่ว่าเราจะวิ่งทีละ 3 ก้าว สมาธิของเราก็จะถูกดึงมาที่การนับก้าว นับ 1, 2, 3 ไปเรื่อยๆ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความกังวลกับเป้าหมายสุดท้ายลงได้ และเรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในการนับก้าวเพียง 3 ก้าวอยู่ตลอดเวลา และถ้ารับการประสบความสำเร็จในการนับก้าวเพียง 3 ก้าวตลอดระยะทางของการวิ่งรอบสนามฟุตบอล 5 รอบ รับรองได้ว่าเป้าหมายใหญ่หรือเป้าหมายสุดท้ายที่เราตั้งไว้ก็ประสบความ สำเร็จโดยอัตโนมัติ

ถ้าเราทำแล้วแต่ไม่ได้ผลดังที่คาดหวัง ก็ให้คิดว่าสำเร็จในการที่ได้ทำ ก็ให้คิดเสียว่าอย่างน้อยๆ เราก็มีความสำเร็จที่ได้ทำสิ่งนั้น ดีกว่าคนอีกหลายคนที่ยังไม่ทำในสิ่งที่เราได้ และที่สำคัญคือเราจะได้มีโอกาสไปทำสิ่งอื่นในชีวิตที่เรายังไม่ได้ทำอีกตั้ง มากมาย หรือเราอาจจะคิดใหม่ว่าถ้าทำแล้วไม่ได้ผล แสดงว่าโอกาสแห่งความสำเร็จยังรอเราอยู่ ยิ่งเราทำแล้วไม่สำเร็จมากเท่าไร ก็แสดงให้เห็นว่าหนทางสู่ความสำเร็จก็จะมีมากขึ้น เหมือนคนเดินหลงทางมามากเท่าไร โอกาสที่จะไปถูกทางก็ย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะโอกาสลองผิดเริ่มน้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ

ถ้าผลที่ได้รับต่ำกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ให้คิดว่าเราประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว

ขอให้คิดว่าถ้าเราบรรลุเป้าหมายตั้งแต่ครั้งแรก เราจะได้ความสำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และให้คิดว่าผลที่ได้ในครั้งแรกนั้นเป็นความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว คิดต่อไปอีกว่าเป้าหมายที่เหลืออยู่จะสร้างโอกาสให้เราประสบความสำเร็จได้ อีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังทำแล้วยังไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้อีกก็ให้คิดเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งไว้ครั้งแรกประสบความสำเร็จ การที่เราประสบความสำเร็จครั้งละน้อยๆ แต่หลายครั้ง ไม่แน่ว่าผลรวมของความสำเร็จหลายครั้งรวมกันอาจจะมีมากกว่าหรือดีกว่าความ สำเร็จของคนที่ทำครั้งเดียวแล้วประสบความสำเร็จเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น สมจิตร จงจอหอ นักมวยเหรียญทองโอลิมปิกที่สะสมความสำเร็จในการไปชกมวยโอลิมปิกยาวนานถึง 12 ปี ผลพวงของความสำเร็จที่ละเล็กทีละน้อยที่สะสมไว้ได้ช่วยให้สมจิตรมีโอกาสได้ เงินรางวัลมากกว่านักชกที่เคยได้เหรียญทองโอลิมปิกก่อนหน้านี้ มีชื่อเสียงมากกว่าและมีโอกาสใช้เงินไปนานกว่าคนที่ประสบความสำเร็จไปก่อน หน้านี้ ไม่แน่ว่าถ้าสมจิตรได้เหรียญทองโอลิมปิกตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปชกโอลิมปิก ป่านนี้เขาอาจจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลยก็ได้และอาจจะมีภูมิคุ้มกันชีวิตน้อย กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอาหารว่างทาง สมองให้ท่านผู้อ่านนำไปคิดต่อ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็นำไปใช้ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองก็อาจจะส่งข้อมูลนี้ต่อไปให้ผู้อื่น เพราะอาจจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตอื่นบ้างก็ได้ไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านทุกคนคงจะมีชีวิตที่ประสบแต่ความสำเร็จตลอด เวลาและตลอดไป นะครับ


ชีวิตพบเจอทางตัน..ให้เดินถอยหลังแล้วตั้งสติ

หากอุปสรรคคือกำแพงสูงใหญ่ ทุบกำแพงก็เหมือนทำร้ายตัวเองทางอ้อม เหนื่อยก็เหนื่อย...เจ็บตัวอีกต่างหาก

ชีวิตพบเจอทางตัน..ให้เดินถอยหลังแล้วตั้งสติ

เชื่อหรือไม่ว่า... เวลาเราเจอปัญหาหรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ เรามักขาด "สติ" สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ คำถาม และคำตอบก็คือ "ความว่างเปล่า" ผลที่ได้รับจากความว่างเปล่านั้นก็คือ "ความฟุ้งซ่าน"

บ่อยครั้งที่ใครหลายๆ คน ฟุ้งซ่านไปกับการคิดอะไรไม่ออกเมื่อต้องเผชิญปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงินๆ ทองๆ หรือเรื่องความรัก แม้ว่าบางคนพยายามจะเป็นนักแก้ปัญหาที่ดี แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

"เหตุผลเดียวที่ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้คือ การใช้อารมณ์และความรู้สึกในการแก้ไขปัญหา"

เวลาคนเราใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เรามักจะทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล เหมือนคนบ้า เหมือนคนปัญญาอ่อน พูดง่ายๆ ก็คือ
"งี่เง่า" เลยทำให้คำตอบของทุกๆ คำถามคือความว่างเปล่า ไม่มีทางออกใดๆให้กับปัญหานั้น ลองเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างคนสองคนที่เจอทางตันเป็นกำแพงสูงใหญ่

คนแรกทำทุกวิถีทางที่จะทุบกำแพงนั้น ในขณะที่อีกคนพยายามหาวิธีปีนกำแพงเพื่อจะข้ามไปให้ได้ อยากถามว่าวิธีไหนจะได้ผลกว่ากัน

การแก้ปัญหาที่ดีจึงควรมีสติเป็นตัวช่วยเสมอ เจอปัญหาก็อย่าเพิ่งมุทะลุ อย่าโวยวาย อย่าทำให้ตัวเองเครียดกับปัญหานั้นๆ ทุบกำแพงก็เหมือนทำร้ายตัวเองทางอ้อม เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บตัวอีกต่างหาก ลองถอยหลังออกมาทีละก้าวๆ เราจะมีเวลาได้สำรวจดูว่า กำแพงนั้นสูงใหญ่แค่ไหน กว้างแค่ไหน ลึกแค่ไหนมีหนทางจะปีนป่ายข้ามมันไปได้อย่างไร ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ..

"จะกลัวกับความมืดไปทำไม เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว"

บางทีปัญหาก็ต้องอาศัยเวลามาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความคิดที่จะหาหนทาง แก้ไข เมื่อเราคิดอย่างถี่ถ้วน เราจะรู้ว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ทำอะไรก่อน ทำอะไรหลัง และเราควรจะใช้เวลาแก้ไขปัญหานั้นมากน้อยเพียงใด เร็วไปอาจจะไม่เกิดประโยชน์ ช้าไปก็อาจจะทำให้ปัญหานั้นบานปลาย และแก้ไขไม่ได้

เชื่อมั่นเถอะว่า .. มีสติเมื่อไหร่ เราก็จะพบทางออกเมื่อนั้น บางทีทางที่มันตันก็จะช่วยสอนให้เรารู้ว่า ถ้าไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เราก็จะไม่ประมาทกับการแก้ไขปัญหา และเมื่อใดที่เรารู้จักแก้ไขปัญหาด้วยความรอบคอบ เราจะรู้จักคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง

อ่านเจอข้อความดีๆ จากหนังสือฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง เขียนโดยอาจารย์สมชาติ กิจยรรยง เขากล่าวไว้ว่า

ปัญหาทำให้เราเข้มแข็งเวลาทำให้เราเชี่ยวชาญ
สถานการณ์ทำให้เรารู้จักแก้ไข
การตัดสินใจ ทำให้เรารู้ว่าถูกหรือผิด
ความคิดทำให้เราเลิศทางปัญญา


หากวันนี้พบเจอทางตัน ถอยหลังก้าวออกมาอย่างมีสติ แล้วเราจะค้นพบอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั้น...มันอยู่ในความคิดที่นิ่งสงบของเราแล้วนั่นเอง

อ่านเรื่องราวข้างต้นแล้ว คงเห็นว่า
"กุญแจ" สำคัญ ที่จะช่วยทำให้เราสามารถก้าวพ้น "ปัญหา" จนออกไปสู่พบกับแสงสว่างได้ก็คือ "สติ" ขอเพียงตั้ง "สติ" ให้มั่น พิจารณาหนทางต่างๆ ด้วย "เหตุผล" จะเกิดเป็น "ภูมิคุ้มกัน" นำทางให้ตัวเองออกจากเขาวงกตของ "ปัญหา" ได้อย่างแน่นอน

10 อันดับของสังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด

รู้ไว้ได้ประโยชน์ เวลาไปทำบุญจะได้ ได้บุญเยอะๆ

10 อันดับของสังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด

ใครที่ไม่เคยทำบุญ ทำทาน ก็อย่าลืม...วันเข้าพรรษาแล้ว มีโอกาสแล้ว และโอกาสมีทุกๆวัน แล้วอย่าลืมทำบุญกุศลให้พ่อแม่ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ยากไร้ และคนรอบข้าง แค่คิดดี ทำดีก็ได้บุญนะ... ขอให้กุศลผลบุญญนำพากลับมาให้ตัวท่านได้ดี สุขภาพแข็งแรง มีความสุขค่ะ....สาธุ

10 อันดับของสังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด (สกู๊ปรายการจุดเปลี่ยน) รายการ "จุดเปลี่ยน" เมื่อวันเสาร์ที่ 14 และ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา (ช่อง 9 เวลา 13.00 น.) ออกอากาศเรื่อง "10 อันดับของสังฆทาน ที่ทำแล้วพระท่านจะได้ประโยชน์มากที่สุด" อันเนื่องมาจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้ เช่น

ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบจะเป็นผ้าซีทรู ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้างๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ, สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม ไม่แน่ใจว่าศีลข้อที่ 6,7 หรือ 8 นี่แหละค่ะ) เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้นค่ะ

รายการจุดเปลี่ยน จึงได้ไปสอบถามพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง แล้วจัดอันดับสิ่งของสังฆทาน ตามความจำเป็นในการใช้งาน รวม 10 อันดับ ซึ่งเรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้

1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่างๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ อันดับ 1 จึงตกเป็นของ "เครื่องเขียน" ไปอย่างพลิกความคาดหมาย (หรือว่าคุณทายถูกล่ะ ? เอ้อ)

2. ใบมีดโกนตราขนนก (Feather) หรือยี่ห้อยินเลส เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดสาด !!! (>_<) ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลส ใช้ในการโกนครั้งแรก ส่วนยินเลสจะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน (-_- )"""

3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความยาวพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้น ทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่ ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เตรียมผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระกัน! เถอะนะคะ

4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือที่ให้ความรู้ด้านอื่นๆ เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธก ยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง (ใครติดหุ้นอยู่น่าจะลองไปถวายหนังสือธรรมะแก้เคล็ดนะ ก๊ากกกก)

5. รองเท้า (ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์นะจ๊ะ สังเกตให้ดีล่ะว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า) พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่างๆ, บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ "รองเท้า" ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อยๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง

6. ยาหลักๆ ที่จำเป็น ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง ใช้ ...... (เรารู้นะว่าคุณเติมคำในช่องว่างได้ อิอิอิอิ ต้องไปดู โฆษณา สสส.)

7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้ เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง

8. ชุดคอมพิวเตอร์ อู้วววว ไฮโซไปนิดนึง แต่ถ้าใครรวบรวมเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างกฐิน ผ้าป่า ก็น่าพิจารณาถวายคอมพิวเตอร์แด่วัดที่ขาดแคลน .. ถ้าเป็นวัดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงจะดีมากๆ ค่ะ (แอบห่วง กลัวเป็นต้นเหตุของข่าวพระนักแชท)

9. น้ำยาเช็ดพื้น เหอ... งงไปเลย พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ?? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย (เอ...แล้วถ้าพระ "ฆ่า" เชื้อโรคนี่จะผิดศีลข้อปาณาฯ มั้ยคะคุณ ??)

10. แชมพู อ๊ากกกกก !!! พระท่านไม่มีผมแล้วจะเอาแชมพูไปทำไมเนี่ย แถมยังฮอตฮิตติดท็อปเท็นของที่มีประโยชน์อีกด้วย แซงหน้าไมโล โอวัลติน ชาเขียว ขิงผง สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทิชชู่ ฯลฯ ที่เห็นสลอนอยู่ในถังเหลืองซะด้วยซี คืองี้ เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตรง แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล สังเกตง่ายๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า "Scalp" เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด ! ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้ ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึงนะคะ ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร "เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม" ไปถวายท่าน... ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้ค่ะ

ของที่ควรลดละเลิกในสังฆทาน ข้าวของบางอย่างที่ควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาประกอบเป็นสังฆทาน
-
บุหรี่ ยาเสพติด เครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท
-
ผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุด้วยโฟม เพื่อหลีกเลี่ยงมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
-
อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง เพราะเป็นอาหารที่มีสารกันบูด สารเคมี ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ใส่เป็นผลไม้สดจะดีกว่า ถ้าในวัดมีครัวอาจซื้อผักสดเข้าครัวก็ได้
-
ใบชา พระไม่ค่อยได้ชงฉัน ควรเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรให้ประโยชน์กับสุขภาพมากกว่า
-
กล่องสบู่ ปกติพระท่านมีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องซื้อถวายอีก
-
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารบิณฑบาตในตอนเช้าเป็นอาหารสดและมีคุณค่ากว่า ไม่ควรส่งเสริมให้ท่านฉันอาหารที่มีคุณค่าน้อย
-
น้ำอัดลม น้ำที่ผ่านการปรุงแต่งใส่สี

การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธค่ะ ♦

วิธีการเพิ่มคุณภาพให้ผลงานของท่าน

กฎ 8 ข้อเพิ่มผลงานระดับสุดยอด

หมดยุคเช้าชามเย็นชามอีกต่อไป การทำงานของคนรุ่นใหม่ต้องมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มผลงานสุดยอดออกสู่โลกแห่งการแข่งขันที่คุณจำเป็นต้องกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา

นอกจากจะแข่งกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวแล้ว คุณยังต้องแข่งขันกับตัวเอง เพื่อทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด เพราะเจ้านายของคุณกำลังเพ่งเล็งระบบการทำงานทั้งหมด ยิ่งถ้าคุณทำดีมากเท่าไร ผลงานก็จะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณยังทำงานเรื่อยๆ ไม่กระตือรือร้น เจ้านายของคุณก็จะมองเห็นหลุมดำในตัวคุณแน่นอน

1.    ตั้งเป้าหมายทุกวัน 

ตอนเช้าทุกๆ วันคุณต้องตั้งสมาธิว่าวันนี้จะเคลียร์งานส่วนใดให้เสร็จเรียบร้อยบ้างตั้งเป้าหมายสูงสุดของวันและทำมันให้ดีที่สุด จากนั้น เมื่อจบวันก็ลองมาทบทวนดูว่ามีสิ่งใดที่เราทำได้หรือไม่ได้บ้างพร้อมกับวางแผนในวันต่อไป

2.    เลิกผัดวันประกันพรุ่ง 

จริงอยู่ที่วันนี้คุณอาจจะทำงานสบายๆ แต่วันพรุ่งนี้คุณก็ต้องทำมันอยู่ดี แถมงานก็ต้องเลตไปเรื่อยๆ อีกเพราะความไม่มีอารมณ์จะทำงานของคุณ จำไว้ว่าถ้ารู้ว่าเกิดปัญหาเมื่อไรให้คุณลุยแก้ไขตั้งแต่ต้นมันจะแก้ง่ายกว่า รวดเร็วกว่า และสบายกว่าในอนาคต

3.    Peak Times 

เมื่อคุณอยู่ในวงจรของการทำงาน คุณย่อมรู้ดีว่าช่วงไหนของการทำงานที่จะวุ่นวายที่สุด ให้คุณจัดสรรเวลาสำหรับช่วงนั้นให้ดีๆ และจัดเวลาให้กับงานที่รองลงมา เพื่อที่เวลาการทำงานจะได้ไม่ทับซ้อนกัน

4.    อย่าเสียเวลากับงานง่ายๆ 

คุณไม่จำเป็นจะต้องส่งเอกสาร ส่งแฟ็กซ์หรือทำอะไรต่างๆ ในสำนักงานทั้งๆ ที่มีคนอื่นๆ ทำให้อยู่แล้ว ยกเว้นว่ามันเป็นหน้าที่ของคุณเอง เราไม่ได้หมายถึงให้คุณละเลยงานเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่คุณต้องรู้ว่าคุณมีงานที่สำคัญกว่ารอคอยอยู่ และงานที่นอกเหนือจากนี้แค่เพียงยกโทรศัพท์เตือนเจ้าของหน้าที่ก็เพียงพอแล้ว

5.    หามุมเงียบๆ ทำงาน 

เพียงแค่คุณมี Loptop และ Wi-Fi ก็เตรียมพร้อมสำหรับการปลีกวิเวกได้แล้ว เพราะผลงานจะออกมาได้ดีนั้นมักต้องมีความสงบ เพื่อให้คุณเกิดสมาธิอย่างเต็มที่ ลดภาวะจิตว้าวุ่น วอกแวก หรือรับโทรศัพท์ตลอดเวลา คุณอาจจะหามุมที่ร้านกาแฟห้องสมุด หรือแม้แต่สวนหลังบ้านของคุณเองก็ได้

6.    อ่านเยอะๆ เพิ่มไอเดีย 

ไม่ว่าคุณทำงานสายไหนก็จะต้องอัพเดตตัวเองตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกระแสข่าวระบบการทำงาน หรือแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะจะทำให้คุณมีความรู้กว้างและแก้ปัญหาได้อย่างทันสมัย ไม่คร่ำครึอย่างคนที่ทำงานแบบเดิมๆ ทุกวัน โดยไม่ขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ

7.    ใช้สัญชาตญาณทำงาน 

นอกจากจะใช้หลักการให้งานเดินแล้ว คุณยังต้องใช้สัญชาตญาณในการทำงานด้วยอย่าทำตัวอยู่ในกรอบให้มากนัก หากงานไหนคุณต้องการความช่วยเหลือจากใครหรือมองเห็นว่างานนั้นสมควรต้องแก้ไขอย่ารอช้า ให้ใช้สัญชาตญาณที่คุณมีอยู่ลุยงานต่อไปเลย

8.    ลิสต์ประเด็นตัวเองเข้าประชุม 

เมื่อเรามีปัญหาต้องเข้าประชุม หรือจำเป็นต้องเข้าประชุมตามวาระ ควรลิสต์ประเด็นเกี่ยวกับการทำงานของเราไว้ด้วย เผื่อคุณจะได้ไอเดียวใหม่ๆ ในการแก้ไข และแลกเปลี่ยนระบบการทำงาน เพื่อให้คนอื่นๆ มองเห็นความสามารถและความพยายามในการแก้ปัญหาของคุณ ลองคุยให้คนอื่นฟังแล้วคุณจะได้ไอเดียวจากห้องประชุมเยอะแยะเลยทีเดียว



90% ของคนทั้งโลก เชื่อว่าต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่มีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด จงเก็บไปพิจารณา แล้วหยิบขึ้นมาลองทำซัก 1-2 ข้อ ก่อนก็ได้

มนุษย์ขี้เหม็น

มนุษย์ขี้เหม็นเอ๋ย






















เลือกเอาละกัน ว่า..........

จบ.